รู้จักประกันภัยรถยนต์ และความแตกต่างของแต่ละประกัน
1 min read1 . กรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับ ( พรบ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ) ในปัจจุบันกฎหมายบังคับให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ทุกคัน ต้องทำประกันประเภทนี้ ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยคุ้มครองเฉพาะ ความเสียต่อชีวิต และร่างกายของบุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้ประสบอุบัติเหตุจากรถ ทุกชนิด โดยจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ประสบภัยจากรถทุกคน ตามวงเงินความคุ้มครองที่ระบุในหน้าตรางกรมธรรม์ของรถยนต์ชนิดนั้นๆ ( เรียกว่า พรบ.-ใช้แสดงเมื่อต่อภาษีรถยนต์ประจำปี )
2 . ประกันภัยภาคสมัครใจ ( ประกันภัยประเภท 1, 2, 3, ธรรมดา หรือ พิเศษ ) มีความคุ้มครองต่อชีวิต ,ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของรถยนต์ที่เอาประกันภัย ในส่วนความเสียหายที่เกินวงเงินความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับ ( มีความแตกต่างคือประกันภัยภาคสมัครใจจะคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิต,ร่างกายของบุคคลภายนอก แต่ประกันภัยภาคบังคับจะไม่คุ้มครองเลย กรณีมีความเสียหายต่อทรัพย์สิน ผู้กระทำละเมิดจะต้องรับผิดชอบเอง )
ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 และ 2 ,3 มีความแตกต่างกันอย่างไร
ประกันภัยภาคสมัครใจจะแบ่งออกหลายชนิด เช่น
– ประกันภัยประเภท 1 ซึ่งคุ้มครองครอบคลุมการเกิดภัยทุกชนิด
– ประกันภัยประเภท 2, 3 ธรรมดา เป็นกรมธรรม์ชนิดคุ้มครองเฉพาะภัย จะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายทีเกิดแก่บุคคลภายนอก คุ้มครองรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเฉพาะภัยที่เข้าเงื่อนไขความคุ้มครองเท่านั้น
– ประกันภัยประเภท 2, 3, พิเศษ เป็นกรมธรรม์คุ้มครองเฉพาะภัย เช่นดียวกัน แต่จะคุ้มครอง อุบัติเหตุบางชนิดที่เกิดแก่รถยนต์ที่เอาประกันภัย เช่น กรณีชนกับรถยนต์ ( หรือยานพาหนะทางบก – ยืนยันคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ รถยนต์ต้องมีทะเบียน ) กรณีรถยนต์ที่เอาประกันภัยเกิดไฟไหม้, รถยนต์สูญหาย, น้ำท่วม เฉพาะภัยที่ระบุไว้ในสัญญาประกันภัยเท่านั้น
(เป็นการแจ้งข้อมูลเบื้องต้น แต่ยังมีรายละเอียด และเงื่อนไขอื่นๆ อีกมาก โดยต้องสอบถามจากบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัย ผู้มีความรู้เฉพาะเรื่อง )
ประกันรถยนต์ชั้น 1 เหมาะสำหรับรถใหม่ป้ายแดงรถยนต์ที่มีอายุตั้งแต่ 1 – 4 ปีขึ้นไปผู้ขับขี่เป็นมือใหม่หัดขับซึ่งมีโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูง ไม่ค่อยเกิดอุบัติเหตุใหญ่ แต่มีการเฉี่ยวชน เล็กๆ น้อยๆ และค่อนข้างถี่ใช้งานค่อนข้างบ่อย เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่การทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ผู้เอาประกันไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อมีอุบัติเหตุและถึงแม้อุบัติเหตุไม่ได้เกิดจากการชนโดยตรงก็สามารถเคลมได้
ข้อดีของการทำประกันรถยนต์ชั้น 1
ผู้เอาประกันไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากประกันชั้น 1 คุ้มครองการเกิดอุบัติเหตุทุกกรณี สามารถเลือกซ่อมอู่หรือซ่อมห้างก็ได้ สำหรับรถที่มีอายุไม่เกิน 4 ปี เคลมได้โดยไม่ต้องเสียค่าความเสียหายส่วนแรกกรณี ชนเสา รั้วบ้าน สัตว์เลี้ยง ต้นไม้ หรือสิ่งต่างๆ ที่ระบุได้ชัดเจน สามารถสะสมส่วนลดประวัติดี เพื่อนำมาเป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันในปีถัดไปได้สูงสุด 50% ทำประกันแบบระบุอายุได้สูงสุด 2 คน เพื่อลดเบี้ยประกันได้ ทำประกันเป็นกลุ่มตั้งแต่ 3 คันขึ้นไป โดยที่รถทั้ง 3 คันต้องมีชื่อผู้เอาประกันภัยเป็นบุคคลเดียวกัน ชำระเงินสดมีส่วนลดเพิ่มเติมอีก ส่วนลดที่ได้ขึ้นอยู่กับบริษัทที่เลือก และราคาเบี้ยประกันภัย สามารถผ่อนชำระได้ตั้งแต่ 2-6 งวด 0%
ข้อเสียของการทำประกันรถยนต์ชั้น 1
เบี้ยประกันภัยมีราคาสูงกว่าประกันภัยชั้นอื่นๆ ต้องมีการตรวจสภาพรถ และถ่ายรูปเพื่อเป็นหลักฐาน ก่อนการรับประกันใหม่ในแต่ละปี จำกัดอายุรถอยู่ในการรับประกันแค่ ปีที่ 1-7เท่านั้น หลังจากปีที่ 7 มีเพียงบริษัทประกันไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่รับประกันและราคาเบี้ยประกันก็จะเป็นราคาที่สูงมากๆ ต้องเสียค่าความเสียหายส่วนแรก 1,000 บาท กรณีที่รถชนโดยไม่มีคู่กรณี และไม่ได้เกิดจากการชนคว่ำ
การประกันภัยคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร
การประกันภัยเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการบริหาร การเงินของคุณ เพราะเป็นวิธีที่ทำให้คุณ สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดต่อตัวหรือทรัพย์สินของคุณได้ทุกเมือ โดยบริษัทที่คุณทำประกันภัยไว้จะทดแทน ค่าเสียหายให้ตามวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ดังนั้นในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่คุณและครอบครัว การปะกันภัยจึงมีประโยชน์อย่างมากและเป็นส่วนที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด อย่างไรก็ตามก่อนซื้อประกันภัยคุณควรทำความเข้าใจกับหลักการประกันภัยก่อน เพื่อจะได้สามารถเลือกซื้อประกันภัยแบบที่เหมาะสมในราคาที่คุ้มค่า การประกันภัยคือ การจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยในจำนวนที่เล็กน้อย เมื่อเทียบกับความเสียหายแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องเสียเงินเยอะในกรณีที่เกิดความเสียหายขึ้นจริง โดยบริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายแทน การประกันภัยมิได้เป็นการทำให้ความเสี่ยงหรืออุบัติเหตุหายไป แต่การประกันภัยจะช่วยลดภาระ ค่าใช้จ่ายและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้านการเงินตลอดจนการดำเนินการต่าง ๆ อันเนื่องมาจากความเสียหายนั้น แต่อย่างไรก็ตามวิธีการป้องกันความเสียหายที่แท้จริงและดีที่สุดคือการมี ความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตของคุณเองส่วนการประกันภัยนั้นคุณควรมีไว้เพื่อเป็นแหล่งสำรองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น
- ผู้มีหน้าที่ต้องทำประกันภัยรถ ได้แก่ เจ้าของรถผู้ครอบครองในฐานะผู้เช่าซื้อรถ และผู้นำรถที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศ
- การฝ่าฝืนไม่จัดให้มีการทำประกันภัยรถ พ.ร.บ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ 2535 กำหนดให้ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
- ผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ
- ผู้ประสบภัยอันได้แก่ ประชาชนทุกคนที่ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสารคนเดินเท้า หากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถก็จะได้รับความคุมครองตาม พ.ร.บ นี้
- ทายาทของผู้ประสบภัยข้างต้น กรณีผู้ประสบภัยเสียชีวิต
- ผู้มีหน้าที่รับประกันภัยและโทษของการไม่รับประกันภัย
- ผู้มีหน้าที่ต้องรับประกันภัย คือ บริษัทประกันวินาศภัยที่รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยรถ ประชาชนสามารถทำประกันภัยรถ พ.ร.บ ได้ที่บริษัทประกันภัยข้างต้นรวมถึงสาขาของบริษัทนั้นๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ที่รับประกันภัยเฉพาะรถจักรยานยนต์ มีสาขาให้บริการทั่วประเทศ
- บริษัทใดฝ่าฝืนไม่รับประกันภัยรถตาม พ.ร.บ คุ้มครองต้องระวางโทษปรับตั้งแต่50,000บาท ถึง 25,000 บาท
- อัตราเบี้ยประกันภัย พ.ร.บ
- กำหนดเป็นอัตราเบี้ยประกันภัยชั้นสูงอัตราเดียวแยกตามประเภทรถและลักษณะการใช้รถบริษัท
- ประเภทรถ เช่น รถจักยานยนต์ รถยนต์ไม่เกิน 7 ที่นั่ง ฯลฯ
- ลักษณะการใช้รถ แบ่งเป็น 2 ลักษณะการใช้ คือ ส่วนบุคคลและรับจ้าง / ให้เช่า
จ่ายหลักร้อย คุ้มครองหลักแสน พ.ร.บ. ช่วยได้